แผลเป็น
แผลเป็น เกิดจากกระบวนการรักษาแผลที่เกิดจากการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ และมีการสร้างเนื้อเยื่อที่เป็นคอลลาเจนมาทดแทนเนื้อเยื่อ ที่ถูกทำลายไป ซึ่งเป็นกระบวนการรักษาแผลตามธรรมชาติ เมื่อแผลหายดีแล้วก็จะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้
โดยแผลที่มักทำให้เกิดแผลรอยแผลเป็นก็ได้แก่ แผลจากอุบัติเหตุ ถูกของมีคมบาด แผลผ่าตัด แผลปลูกฝี ฉีดวัคซีน แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลสิว แผลจากโรคอีสุกอีใส แผลจากรอยสัก เป็นต้น
ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดแผลเป็นจะเกิดได้มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยความรุนแรงของแผลหรือการฉีกขาดของเนื้อเยื่อตื้นลึกเพียงใด และปัจจัยการรักษาแผลของเราว่ารักษาแผลดีแค่ไหน
ถ้ามีการดูแลรักษาที่ดีและทำให้แผลหายเร็ว รอยแผลเป็นก็จะลดน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลรักษาที่ไม่ดี
วิธีรักษาแผลเป็น
1. การป้องกันแผลเป็น
อย่างแรกที่ควรใส่ใจ คือควรลดสาเหตุและระดับความรุนแรงของการเกิดแผลให้ได้ แต่ถ้าเกิดแผลขึ้นแล้ว คุณควรดูแลรักษาความสะอาดของแผลอย่างเหมาะสมเพื่อให้แผลหายเร็วที่สุด เพราะยิ่งแผลหายเร็วเท่าใดโอกาสการเกิดแผลเป็นก็จะน้อยลงหรือเบาบางลงด้วย
ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการหายของแผลก็ได้แก่ อายุ การขาดอาหาร การสูบบุหรี่ อุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรดด่าง ออกซิเจน และยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าแผลจะหายได้เร็วขึ้นเมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิอบอุ่นได้ดีกว่าอากาศเย็น
ส่วนความชื้น ความเป็นกรดด่าง และออกซิเจนก็ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้นเช่นกัน
2.รักษาแผลให้หายเร็วที่สุด
การรักษาแผลให้หายเร็ว คุณควรรักษาสภาวะแวดล้อมและความสะอาดของแผลอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การสูบบุหรี่ การขาดวิตามินซี และธาตุสังกะสี สำหรับการดูแลแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ เบื้องต้น ก็เริ่มจากการล้างหรือเช็ดทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ
แล้วตามด้วยการปิดทำแผลโดยปราศจากเชื้อ ส่วนถ้าเป็นแผลใหญ่คุณควรรีบไปพบแพทย์
3.การทายาแก้แผลเป็น
ยาทาแผลเป็น หรือ ครีมลบรอยแผลเป็น ที่มีส่วนผสมของวิตามินอี ช่วยทำให้เซลล์สามารถซ่อมแซมแผลได้อย่างสมบูรณ์ วิตามินเอ, วิตามินบี 3 ที่ช่วยลดสีผิวของแผลไม่ให้เข้มกว่าสีผิวปกติ, สารสกัดจากหัวหอม ที่ช่วยยับยั้งการอักเสบ ลดการสร้างคอลลาเจนบริเวณรอยแผล
สารสกัดจากใบบัวบก ช่วยกระตุ้นการหายของแผลได้อย่างสมบูรณ์ ลดการสร้างคอลลาเจนบริเวณรอบแผล
4.การใช้แผ่นเจลซิลิโคน
สามารถช่วยรักษาการสูญเสียน้ำออกจากบริเวณรอยแผล ช่วยลดการทำงานของเส้นเลือดฝอย และลดกระบวนการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ช่วยทำให้สีของแผลจางลงและแผลเป็นแบนราบลงได้ แต่จะเหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีแดงหรือสีคล้ำหรือนูนเท่านั้น
โดยนำมาปิดทับแผลที่เป็นหรือคีลอยด์ เป็นระยะเวลานานมากกว่าวันละ 12 ชั่วโมง จึงจะช่วยทำให้แผลเป็นยุบลงได้ ควรเริ่มใช้ทันทีหลังแผลปิดสนิทหรือหลังตัดไหมเย็บแผล
5.การผ่าตัด
การผ่าตัดจะช่วยจัดตำแหน่งร่องรอยแผลเป็นให้ดูดีขึ้นได้ โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อเอาแผลเก่าออกแล้วเย็บแผลใหม่อีกครั้ง ซึ่งวิธีนี้อาจจะใช้ได้ผลกับแผลเป็นบางชนิดเท่านั้น และยังขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็นด้วย แต่ต้องเป็นการทำกับแผลเป็นที่สมบูรณ์เต็มที่แล้วเท่านั้น
ไม่ใช่กับแผลเป็นที่เพิ่งเกิดขึ้น
6.เลเซอร์แผลเป็น
เพื่อไปทำลายเนื้อเยื่อผิวที่นูนออกให้เรียบขึ้น แต่การใช้เลเซอร์รักษาแผลเป็นก็ได้ผลปานกลาง โดยแพทย์อาจทำการรักษาควบคู่ไปกับการรักษาอื่น ๆ ด้วย
7.การฉีดฟิลเลอร์
กรณีที่มีแผลเป็นแบบเป็นรอยบุ๋ม แพทย์อาจฉีดสารสังเคราะห์อย่างคอลลาเจน เข้าไปในรอยบุ๋ม เพื่อทำให้ผิวดูเต็มขึ้น แต่วิธีนี้ผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน แล้วต้องมาฉีดยาเติมใหม่